ลำดับเหตุการณ์เขาพระวิหาร โดย รศ.รังสรรค์ วงษ์บุญ
โดย ดร.ไก่ Tanond (บันทึก) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2011 เวลา 18:38 น.
ลำดับเหตุการณ์ - กรณีเขาพระวิหาร โดยรศ.รังสรรค์ วงษ์บุญ
ขอสรุปลำดับเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้ 

 1.  วันที่ 15 มิถุนายน 2505 (ค.ศ.1962) ศาลโลกตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา
     ไม่รวมพื้นที่บริเวณโดยรอบ  สรุปย่อคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารอ่านที่ีนี่ครับ      https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962

2.  วันที่ 20 มีนาคม 2541 มี พรบ. ประกาศให้ เขาพระวิหารเป็นอุทยานแห่งชาติ สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี
    ข้อมูลทั่วไปอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
    ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอน้ำยืน กิ่งอำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี และ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
    มีเนื้อที่ประมาณ 81,250 ไร่ หรือ 130 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา
    มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
    โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541
    เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 19 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ
    กำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ ห้ามเข้าไปและอาศัยอยู่โดยเด็ดขาด
    เป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 และกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในภาค 2 ค่ายสุรนารี นครราชสีมา

    ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก
    ลาดเอียงไปทางทิศเหนือกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา
    พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง และเนินเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200-500 เมตร
    เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยลำธารต่างๆ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย ห้วยตานี ห้วยตาเงิด ห้วยตุง ห้วยตะแอก และห้วยบอน เป็นต้น
    พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาลาดชันเป็นเนินเขา สภาพป่าประกอบด้วย ป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้จะคละปะปนกันมาก
    บนเทือกเขาพนมดงรักยังมีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ทั่วไป

    อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ประกอบด้วยสภาพธรรมชาติที่มีทัศนียภาพสวยงามเด่นชัดเฉพาะตัว มีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์
    มีโบราณสถานสำคัญๆ เช่น ภาพสลักนูนต่ำ สถูปคู่ ผามออีแดง สระตราว แหล่งตัดหิน ถ้ำฤาษี ช่องตาเฒ่า ช่องโพย
    น้ำตกและถ้ำขุนศรี น้ำตกห้วยตา เขาสัตตะโสม เขื่อนห้วยขนุน น้ำตกไทรย้อย ช่องอานม้า ฯลฯ
    ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารทางด้านบริเวณผามออีแดง ท้องที่ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

3.  วันที่ 14 มิถุนายน 2543  ไทย - กัมพูชา เซ็น MOU 2543
    สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี
    นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ
    มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็น รมช. กระทรวงการต่างประเทศ

    MoU หรือ  “บันทึกความเข้าใจ”  (MOU-Memorandum Of Understanding)
    เป็นหนังสือซึ่งฝ่ายหนึ่งแสดงความสมัครใจจะปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใด และตามเงื่อนไขที่ปรากฏในหนังสือนั้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง
    โดยที่หนังสือนี้ไม่ถือว่าเป็นสัญญาผูกมัด แต่แสดงความต้องการอันแน่วแน่ของผู้ลงนามว่าจะปฏิบัติดังที่ได้ระบุไว้
    ในทางการทูตบันทึกความเข้าใจ หรือ “เอ็มโอยู” เป็นส่วนหนึ่งของ “สนธิสัญญา” (treaty)


    ที่มา : http://www.dailynews.co.th

     MoU 2543 ทำขึ้นมาเพื่อ
        - เพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและกัมพูชา
        - จัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากหลักเขตเดิมซึ่งได้จัดทำขึ้น
            โดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสยาม และ ประเทศฝรั่งเศสได้สูญหาย ชำรุด
            หรือ ถูกเคลื่อนย้าย ในช่วงเวลา เกือบ 100 ปี ที่ผ่านมา
        - ฯลฯ

    MoU 2543 มีสาระสำคัญ คือ ไทยและกัมพูชา ตกลงกันว่า วิธีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
            จะดำเนินการในแนวทางตามเอกสารสำคัญคือ
        1. อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904
        2. สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
            เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (มาตรา 1[a]และ1[b] )
        3. แผนที่ทั้งหลาย (Maps) ซึ่งเป็นผลของการปักปันเขตแดน
            โดยคณะกรรมาธิการ(Commissions) ร่วมอินโดจีน – สยาม (ก่อตั้งขึ้นตามหนังสือสัญญาทั้งสอง)
                ตลอดจนเอกสารอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับหนังสือสัญญาทั้งสอง (มาตรา 1[c] )
            - ไทยและกัมพูชาดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC)
                เพื่อรับผิดชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน (มาตรา 2)
             - ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ในขณะที่กำลังสำรวจเขตแดน จะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
                ในสภาพแวดล้อมของบริเวณพื้นที่เขตแดน (มาตรา 5)
        4. ฯลฯ

    จาก 2543-2553 มีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง?
        - นับแต่ปี 2544 ฝ่ายกัมพูชา มิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่
            ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อนโดยที่รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมิได้มีการทักท้วงแต่อย่างใด
        - รัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุม JBC ขึ้น ถึง 3 ครั้ง
            โดยมี ดร.ประชา คุณเกษมเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ทั้ง 3 ครั้ง
        - ในช่วงที่เกิดข้อพิพาท กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ใช้ MoU 2543 เป็นเอกสารอ้างอิงในการทักท้วง
        - ในการเจรจาระหว่างไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2551 ที่ผ่านมา
            ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะใช้ MoU นี้เป็นกรอบในการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาระหว่างกัน
            โดยได้นัดหมายว่าจะมีการประชุม JBC ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 18 สิงหาคม 2551
        - ไทยยื่นหนังสือประท้วงกัมพูชานับร้อยฉบับกรณีเข้ามาบุกรุกดัดแปลงพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร
            แต่กัมพูชาเพิกเฉย

    ที่มา : http://www.parliament.go.th

4.  วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 กัมพูชาระดมยิงเข้ามาฝั่งไทย แต่ถูกทหารไทยตอบโต้อย่างหนักเช่นกัน

5.  วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2554 กัมพูชาทำหนังสือร้องเรียนไปยังนางมาเรีย ลุยซา ริเบโร วิออตติ
    ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
    อ้างว่ากองทัพไทยรุกรานดินแดนกัมพูชาก่อน ทั้งๆ ที่ตกลงหยุดยิงกันแล้ว
    อ้างปราสาทพระวิหารที่ขึ้นเป็นมรดกโลกได้รับความเสียหาย
    อ้างว่าไทยละเมิดกฎบัตรยูเอ็น-สนธิสัญญา หลายฉบับ
    อ้างว่าไทยคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค
    ขอให้เรียกประชุมด่วนให้นานาชาติเข้าแทรกแซงยุติปัญหา ให้มีการหยุดยิงถาวร

6.  วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 ผลการร่วมประชุมกับคณะมนตรีความมั่นคง 15 ประเทศ หรือ UNSC แห่งสหประชาชาติ
    ให้ไทยกับกัมพูชาเจรจาทวิภาคี โดยให้ประชาคมอาเซียนเป็นพี่เลี้ยง
    ส่วนเรื่องการทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร ก็สามารถทำได้โดยให้รัฐมนตรีกลาโหมของทั้งไทยและกัมพูชามาเจรจากัน

7.  วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 คำสั่งของประธานอาเซียนขอเป็นตัวกลางแก้ปัญหาข้อพาทของทั้ง 2 ประเทศ
    และให้มีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เขาพระวิหารและบริเวณโดยรอบ

8.  วันที่ 22 เมษายน 2554 - วันที่ 29 เมษายน 2554 กัมพูชาระดมยิงเข้ามาฝั่งไทย และ ไทยตอบโต้อย่างหนักเช่นกัน
    กัมพูชาทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC กล่าวหาไทยว่า
    เป็นผู้รุกราน ละเมิดข้อตกลงที่ประชุม UNSC เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2554 ที่ผ่านมา
    ละเมิดคำสั่งของประธานอาเซียน ที่พยายามเป็นตัวกลางแก้ปัญหาข้อพาทของทั้ง 2 ประเทศ เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2554 ด้วย
    การพยายามในการเรียกร้องเจรจาทวิภาคีของไทย นั้น เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น
    เมื่อสบโอกาสก็ใช้กำลังเข้ารุกรานกัมพูชา ตลอดเวลา

    เนื้อหาในจดหมายยืนยันว่า กัมพูชา
        - ได้พยายามยับยั้งชั่งใจในการตอบโต้การรุกรานของไทย
        - พยายามที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว แต่ก็ต้องขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้ เพื่อรักษาอธิปไตย

9.  วันที่ 29 เมษายน 2554 กัมพูชายื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกใน 2 ประเด็น คือ
    - ขอให้ “ตีความ” คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี ๒๕๐๕
        ในเรื่องขอบเขตพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทว่ากินบริเวณแค่ไหน
    - ขอให้กำหนดมาตราการคุ้มครองชั่วคราว
        โดยขอให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณเขาพระวิหารและบริเวณโดยรอบโดยไม่มีเงื่อนไข

10.  ความเห็นของ ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล เรื่อง ไทยต้องไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก หรือ
        ต้องบอกว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาคดีในเรื่องนี้ รายละเอียดอ่านได้ที่นี่ครับ
       http://www.15thmove.net/article/icj-prasat-phra-viharn-after-may30-31-sompong/ 

11.  ศาลโลกรับพิจารณคดีนี้ โดยคณะผู้พิพากษาประจำศาลมี 15 ท่าน +
    + ผู้พิพากษาสมทบที่แต่งตั้งโดยกัมพูชา 1 ท่าน เป็นชาวฝรั่งเศษ +
    + ผู้พิพากษาสมทบที่แต่งตั้งโดยฝ่ายไทย 1 ท่าน เป็นชาวฝรั่งเศษ
    ต่อมามีผู้พิพากษาประจำศาลชาวเม็กซิโกถอนตัวจากคดีนี้ไป 1 ท่าน
    จึงเหลือคณะผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้ทั้งหมด 16 ท่าน รายละเอียดอ่านที่นี่ ครับ
    http://www.icj-cij.org/court/index.php?p1=1&p2=2&p3=1 

12.  รวมข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศการชี้แจงของประเทศไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
    เมื่อวันที่ ๓๐ – ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
    (กรณีกัมพูชาขอให้ศาลสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างรอตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร) รายละเอียดอ่านที่นี่ครับ 
    https://sites.google.com/site/verapat/temple/2011 

13.  ศาลโลกมีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 : ประเด็นที่คนไทยควรรู้ รายละเอียดอ่านที่นี่ครับ
    http://www.facebook.com/note.php?note_id=237340269620868

14.  ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้พิพากษาประจำศาลโลกทั้ง 14 ท่าน + 2 ท่านที่แต่งตั้งโดยกัมพูชาและฝ่ายไทยชาติละ 1 ท่าน
    รวมเป็น 16 ท่าน นั้น แต่ละท่านลงคะแนนให้ฝ่ายใดในแต่ละประเด็นด้วยเหตุผลอย่างไร

ถาม จริงๆถ้าคุณมีที่ดินอยู่4.6ตารางก.ม. วันดีคืนดีไอ้คนข้างบ้านมันเข้ามาปลูกเรือนคนใช้ คุณจะยังเฉยไหม? ทำทางเดินเข้ามา แถมสร้างสุสานไว้ บูชาบรรพบุรุษ..คุณก็จะยังเฉยไหม? มิหนำซ้ำอยู่ไปอยู่มา มันไปร้องศาลขอครอบครองอีก..คุณก็จึงเฉยไม่ได้ ต้องไปขึ้นศาล พอไปขึ้นเสรือกแพ้เขาอีก!...นี่มันใช่วิสัยของคนที่เป็นเจ้าของที่จริงหรือ? หรือมันเป็นวิสัยของคนที่แอบขายที่ดินให้คนข้างบ้านไปก่อนแล้ว หวังฮุบเงินโดยไม่ให้ใครรู้ แล้วเอาคำพิพากษามาเป็นขอกล่าวอ้าง ถึงการสูญเสียที่ดินไป!!!